วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 เพจ “นักเรียนเลว” เผยแพร่ข้อมูลว่า มีผู้ร้องเรียนกรณีโรงเรียนแห่งหนึ่งประกาศกฎทรงผมใหม่หลังผู้อำนวยการคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง โดยกำหนดให้นักเรียนชายต้องตัด “รองทรงสูง” ส่วนเด็กหญิงต้องรวบผมตึง ห้ามมีปอยผมหรือหน้าม้าสั้นกว่าเกณฑ์ รวมถึงการกำหนดโบว์สีกรมท่า และถุงเท้าที่ต้องคลุมตาตุ่มด้วย
ต่อมา วันที่ 7 พฤศจิกายน ครูฝ่ายปกครองประกาศกฎต่อหน้าโรงเรียน พร้อมกล่าวว่า “หากรับไม่ได้ สามารถเปลี่ยนบรรยากาศในการเรียนได้เลย” ซึ่งถูกมองว่าเป็นการกดดันให้นักเรียนพิจารณาย้ายสถานศึกษา นอกจากนี้ยังมีมาตรการตรวจระเบียบ 3 ขั้น หากผิดซ้ำครั้งที่สามจะถูก “เชิญออกจากการเป็นนักเรียน”
วันที่ 11 พฤศจิกายน ผู้ปกครองบางส่วนโทรแจ้งความไม่พอใจต่อโรงเรียน แต่ฝ่ายครูยังยืนยันให้ปฏิบัติตามกฎเดิม โดยเปิดให้เด็กนักเรียนแสดงความคิดเห็นต่อฝ่ายปกครองได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม กฎหมายและแนวปฏิบัติด้านการศึกษาภาคบังคับของกระทรวงศึกษาธิการระบุชัดว่า โรงเรียนไม่มีสิทธิไล่นักเรียนออกนอกเหนือจาก 5 เงื่อนไข
ได้แก่ การย้ายสถานศึกษา, ถึงแก่กรรม, ขาดเรียนจนไม่พบตัว, พ้นเกณฑ์อายุภาคบังคับ และเรียนจบเท่านั้น มาตรการขับไล่นักเรียนเพียงเพราะทรงผมจึงไม่
เข้าข่ายหลักเกณฑ์
รายงานจากองค์การยูนิเซฟย้ำว่า โรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย เคารพและคุ้มครองสิทธิเด็ก รวมถึงสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทั้งยังสอดคล้องกับประกาศ ศธ. ที่ 12045/13629 ที่รับรองสิทธิของนักเรียนในการแสดงออก
การข่มขู่ว่าจะไล่ออกเพราะเรื่องทรงผมจึงอาจเป็นมาตรการที่เกินกว่าเหตุ และยังเป็นการผลักเด็กออกจากระบบการศึกษาอย่างไม่เป็นธรรม ขัดกับบทบาทและหน้าที่ของสถานศึกษาที่ต้องปกป้องสิทธิของนักเรียนอย่างชัดเจน


